Monday, January 22, 2024

NPC ตอนที่34 อาการใหม่หลังจากกลับจากอินเดีย

 26 ธันวา

ไปเที่ยวอินเดียช่วงคริสต์มาส ไปเจออากาศหนาว แถมฝุ่นเยอะมหาศาล ทำให้จมูกเริ่มตัน หูเริ่มตันอื้อๆ น้ำมูกไหลบ้างหยุดบ้าง ล้างจมูกเอา อาการเหมือนดีขึ้นบางวัน แต่สุดท้ายเจอว่ามีเลือดออกเป็นก้อนๆ น้ำมูกเป็นสีเหลืองใสบ้างเป็นลิ่มบ้าง

5 มกรา

น้ำมูกเปลี่ยนจากสีขาวเป็นเหลืองเขียวข้น ไปหาหมอที่ไทยนครินทร์ หมอสรุปว่าติดเชื้อในไซนัส ให้ยา 

เลโวฟอกซาซินมากินเจ็ดวัน พร้อมกับ ยาแก้แพ้และซูโด



ถามหมอว่า ตอนนี้ค้นพบเวลาล้างจมูก ถ้าก้มหน้าเยอะ จะช่วยให้ล้างเอาเมือกที่ค้างด้านหน้าไซนัสออกมาได้มากกว่ายืนตัวตรง คุณหมอบอกว่าเขามีชื่อเรียกท่า slam rinse

Nasal Irrigation

Sinus Rinsing


12 มกรา

หลังจากกินยาไปสามวัน น้ำมูกจากสีเขียวกลายเป็นสีขาว แต่ยังข้นๆอยู่ หมอเลยให้กินฆ่าเชื้อต่ออีก3วัน แจ้งหมอว่า มีหูอื้อนิดหน่อย แต่ไม่ได้ทำอะไร

16 มกรา

ไปหาหมอ ENT ที่รามา หมอส่องกระจกให้ดู หลังคอหอย เรียบดี ดูจมูกแห้งดี แจ้งว่าหูอื้อ ดูหูให้บอกว่าปกติ ตอนหูอื้อจะอื้อนิดๆ เป็นหายๆ บางที่จะมีเสียงลั่นเปรียะแล้วหายอื้อได้บางครั้ง

18 มกรา

ไปหาหมอฟัน แจ้งว่าเวลาเคี้ยวมีอาการเจ็บแปลบที่ฟันที่ครอบ หมอให้ลองกัดทดสอบสรุปว่า รากฟันอักเสบ ให้กลับไปหาหมอที่ครอบฟันให้ เพื่อดูว่าต้องรักษายังไง การที่รากฟันอักเสบนานๆ จะทำให้เป็น ORT ได้เช่นกันและถ้าหารักษารากฟันไม่ได้ต้องถอน ทางรามาจะถอนให้ นัดอีกที2เดือนเพื่อสรุปขั้นตอน

20 มกรา

มีอาการลิ้นบวม พูดไม่ชัด กัดลิ้นตัวเอง จากที่ผ่านอาการนี้เป็นเพราะน้ำเหลืองไหลเวียนไม่ดีทำให้มากองที่บริเวณคอ/ลิ้น

22 มกรา

นอนตะแคงซ้ายแล้วมีอาการปวดหูมาก แถมหูอื้อไม่หาย ไม่มีเสียงลั่นเปรียะ แต่อื้อค้างทั้งวัน ไป รพ ไทยนครินทร์ หมอให้คำแนะนำว่า น่าจะมีน้ำ(เหลือง)ในหูชั้นกลาง ถ้าค้างหลายวันอาจเหนียวข้นเลยไม่หายอื้อ แถมมีไข้ 37.8| อาจจะเป็นโควิดหรือติดเชื้อในหู แต่เนื้องจากเพิ่งกินยาฆ่าเชื้อไป เลยไม่อยากให้อีก แต่เนื่องจาก มีไข้จึงจำเปนต้องให้กันเอาไว้ก่อน นัดอีกที7วันมาดุอาการ ระหว่างนี้ให้ ทำการเป่าเคลียร์หู วันละ30ครั้ง เพื่อไล่น้ำเหลืองให้ลงท่อระบาย จะช่วยให้หูไม่อื้อได้บางส่วน ได้ยาฆ่าเชื้อตัวใหม่ Meiact กับยาแก้แพ้และซูโด 7วัน




หูชั้นกลางอักเสบ

วิธีเคลียร์หู


23 มกรา

เช้านี้ตื่นมาหูไม่แน่นฟิตเหมือนเมื่อวาน ค้นพบว่าถ้าฝึกเป่าหูพร้อมกันเอียงหัวไปด้านหน้าเล็กน้อยจะเคลียร์หูได้โล่งกว่าเอียงไปด้านอื่น แต่เคลียร์หูด้วยวิธีเป่าจะค่อนข้างยากถ้าตอนนั้นเจ็บหูร่วม เลยหาวีธีเคลียร์แบบอื่น ด้วยการขยับขากรรไกร ได้ผลดีทีเดียว วันนี้หูจะโล่งๆหน่อยแล้ว 


29 มกรา

อัพเดทอาการ ยังคงมีอาการหูอื้อ แต่เป็นๆ หายๆ หมอสงสัยว่าท่อ ยูสเตเชียน ตันเพราะไซนัสอักเสบหรือผลกระทบจากฉายแสง ให้ทำการเป่าลมเยอะๆ เพื่อไล่ของเหลวออกจากหู กินยาต่ออีก 7วัน ถ้าไม่ดีขึ้นจะต้องเจาะแก้วหูระบายแรงดัน แต่การเป่าหูถ้าเป่าไม่แรงก็จะไม่ช่วยดัน แต่ถ้าเป่าแรงไป ลมชอบออกตามหัวตา เลยไปหาข้อมูลมาเพิ่มเติมว่าการใช้แรงดันแบบผสมจะช่วยไล่น้ำได้ดีขึ้น

**ข้อมูลจาก internet**





สาเหตุที่ทำให้ท่อยูสเตเชียนทำงานผิดปกติ

การที่ท่อยูสเตเชียนเกิดความผิดปกตินั้น อาจเกิดได้ทั้งจากโรคที่เป็น จากสิ่งแวดล้อม และจากการใช้ชีวิตตามปกติ เช่น 

  • เกิดจากการอักเสบและบวมของจมูก, ไซนัส หรือโพรงหลังจมูก, การอักเสบของต่อมอดีนอยด์, การฉายแสงบริเวณโพรงจมูก ซึ่งจะทำให้เยื่อบุรอบท่อยูสเตเชียนบวมหรือตีบแคบลง ทำให้มีการทำงานผิดปกติได้
  • เกิดการเปลี่ยนแปลงความกดดันบรรยากาศอย่างรวดเร็ว หรือในระยะเวลาอันสั้น เช่น ขึ้นหรือลงลิฟต์เร็วๆ, เครื่องบินขึ้นหรือลงเร็ว, ดำน้ำโดยลดระดับเร็วเกินไป
  • มีก้อนไปอุดรูเปิดของท่อยูสเตเชียน ทำให้ท่อทำงานผิดปกติ เกิดความดันเป็นลบในหูชั้นกลาง เช่น ต่อมอดีนอยด์ที่มีขนาดโตจนไปอุดรูเปิดของท่อยูสเตเชียน, มะเร็งของโพรงหลังจมูกที่ลามไปที่ท่อยูสเตเชียน ทำให้ท่อนี้ทำงานผิดปกติไป

ทำ Toynbee maneuver คือบีบจมูก 2 ข้าง และกลืนน้ำลาย 1 ครั้ง(ท่อยูสเตเชี่ยนจะเปิด และเกิดความดันที่เป็นลบในหูชั้นกลาง)เอามือที่บีบจมูกออก และกลืนน้ำลาย 1 ครั้ง(ท่อยูสเตเชี่ยนจะเปิด ทำให้ความดันที่เป็นลบในหูชั้นกลางหายไป)

ทำ Valsalva maneuver ซึ่งทำได้โดยให้ผู้ป่วยสูดหายใจเข้าเต็มที่ปิดจมูก(เอามือบีบจมูกไว้)และปาก เบ่งลมให้อากาศผ่านทางจมูกที่ปิด อากาศจะผ่านไปที่ท่อยูสเตเชี่ยนเข้าสู่หูชั้นกลาง(ท่อยูสเตเซียนจะเปิด เกิดความดันที่เป็นบวกในหูชั้นกลาง)เอามือที่บีบจมูกออก และกลืนน้ำลาย 1 ครั้ง(ท่อยูสเตเซียนจะเปิด ทำให้ความดันที่เป็นบวกในหูชั้นกลางหายไป)ขณะที่เป็นหวัด หรือไซนัสอักเสบซึ่งมีการติดเชื้อในจมูก ไม่ควรทำวิธีนี้เพราะจะทำให้เชื้อโรคในจมูกหรือไซนัสเข้าไปสู่หูชั้นกลางได้


หูอื้อ 1

หูอื้อ 2

หูอื้อ 3


4 กุมภา

หลังจากที่ทำบริหารแบบตามค้นมา ผลคือวันพฤหัสอาการหูอื้อดีขึ้น เหลือเพียงหูตื้อๆ ได้ยินเสียงปกติเพียงแค่ไม่ชัด และมีเสียงวี๊ดเบาๆตลอดเวลา ทนบริหารหุต่ออีกสองวัน วันเสาร์ดีขึ้นอีกนิด เวลาเคี้ยวมีเสียงกรุบกรับในหูแทรกเข้ามาเรื่อยๆ วันอาทิตย์เช้าหลังทำหูบริหาร มีก้อนเหนียวหลุดออกมาได้ มีเทคนิคเพิ่มเติมคือเวลาบ้วนปากเราจะล้างได้แค่ปากและคอส่วนหน้า แต่ถ้าต้องการล้างหลังโพรงจมูกเพื่อเอาน้ำลายเหนียวหรือก้อนน้ำเหลืองเหนียวที่ไหลจากหู เราจะต้องกลั้วคอโดยแหงนหน้าให้สูงแล้วแอ่นตัวไปด้านหลังเพิ่มเติม อมน้ำให้มากหน่อนแล้วกลั้วคอปกติ องศาคอจะเอียงให้น้ำไหลไปที่หลังโพรงจมูกส่วนต้นได้ง่ายขึ้น ความจริงควรใช้น้ำเกลือผสมจะดีกว่าน้ำเปล่าๆ 



ช่วงบ่ายมีจังหวะจึงแวะไปหาหมอที่ไทยนครินทร์เรื่องที่มีเสียงวี๊ดในหูข้างซ้าย คุณหมอให้ตรวจการได้ยิน ผลคือหูข้างซ้ายดีขึ้นตามที่รุ้สึก แต่ยังมีความดันเป็นลบ -138 typeC คุณหมออธิบายว่า น่าจะมีการอุดตันของท่อระบายแรงดัน อาจจะมีการบวมคั่งข้าง โดยปกติร่างกายจะผลิตน้ำเหลืองจำนวนน้อยๆในหูชั้นกลาง แต่ถ้ามีการอักเสบ อาจจะผลิตมากขึ้น และถ้าระบายออกไม่ได้จะทำให้เกิดหูชั้นกลางมีน้ำค้าง น้ำที่ค้างจะข้นขึ้นตามจำนวนวัน ดูจากรูปก้อนเหนียว น่าจะไม่ติดเชื้อ แต่เหนียวจากการค้างนาน ดังนั้นภาระกิจคือต้องระบายน้ำออกให้เร็ว อาจทำได้ด้วยการส่องกล้องหนีบออก กับเจาะแก้วหูระบาย แต่วันนี้เท่าที่เห็นยังพอใช้ยาได้ น่าจะลองเสตียรอย กับเรพาลิลก่อนสัก7วัน 

ส่วนเรื่องการบริหารหูถ้าใช้วิธีเป่าอย่างเดียว จะต้องเป่าด้วยแรงเยอะมากกว่าจะหลุด แนะนำให้ทำตามที่รามาแนะนำ เน้นที่การขยับปากบ่อยๆ เพราะท่อเกาะอยู่กับเพดานปาก วิธีนี้น่าจะได้ผลง่ายกว่า




11 กุมภา

มีนัดกับหมออีกครั้ง อัพเดทอาการเหมือนจะดีขึ้นเรื่อยๆ หมอเลยให้ยาเรพาริลมากิน และไม่นัดแล้ว

17 กุมภา

เมื่อคืนมีอาการปวดหูมาก แก้วหูถูกดึงเข้าไปนอนเวลานอนไม่ได้เลยตื่นตลอดคืน รีบมาหาหมอ ส่องหูดูพบว่ามีอาการน้ำเหลือเต็มหู ขอบแก้วหูแดง ส่องคอแดง หลังโพรงจมูกแดง หมอเลยให้กินยาออกเมนติน , ลอร่าทาดีน,ซูโด,เพนิโซโลน,เรพาริล แบบว่าจัดเต็มอีกรอบ 

รักษากันไป ผลข้างเคียงหลงเหลือจากการฉายแสงนี่มันจะอยู่กับเราไปตลอดจริงๆ

21 กุมภา

มีอาการปวดหูมาก็แวะไปหาหมอให้ช่วยดู หมอว่าอาจจะถึงเวลาเจาะแก้วหูระบายน้ำออก 




25 กุมภา

อาการปวดยังอยู่ และเยอะขึ้น มีเสียงเหมือนไฟช็อตในหู ต่างจากครั้งที่แล้วที่เป็นเสียงขยำกระดาษ

หมอคาดว่าติดเขื้อดื้อยา จะให้ายาชุดใหม่ ยาฆ่าเชื้อเป็น Avelox และได้ singular มาเพิ่ม





2 มีนา เสาร์
อาการปวดหายไปแล้ว หูก็หายไปด้วย จากอื้อๆ กลายเป็นแทบไม่ได้ยิน หน้าซีกซ้ายชา มาหาหมอตามนัด หมอส่องแล้วว่าแก้วหูไม่แดงแล้ว เลยตัดสินใจด้วยกันว่าจะเจาะเอาน้ำออกแบบไม่ใส่ท่อ ลองดูสักสองอาทิตย์ว่าจะเป็นอย่าง ถ้ากลับมาเป็นซ้ำ อาจจะต้องพิจารณาใส่ท่อค้างไว้ 



ขั้นตอนการเจาะคือใส่ยาชาทิ้งไว้ เอากล้องส่องขยาย พร้อมกับสอดเข็มเข้าไปแทง เวลาแทงดังกร้วบ เหมือนเจาะผ่านหนังหมู จากนั้นหมอเอาท่อสอดไปดูดน้ำออกมา ประเมินคร่าวๆด้วยสายตาหมอว่าได้ประมาณ 3ซีซี มีลักษณะเหลืองข้น แต่ยังไม่ถึงกับเหนียวยืด

ข้อพึงระวังสำหรับการเจาะแก้วหูคือห้ามโดนน้ำ เพื่อป้องกันการติดเชื้อ

3มีนา อาทิตย์
ตื่นเช้ามาพร้อมกับหมอนเปียกเป็นรอยน้ำสีเหลืองไหลออกจากหูเล็กน้อย ลักษณะเมื่อแห้งจะแข็งเป็นเกล็ดสีเหลืองๆ คาดว่าจะเป็นเซรั่มที่เกิดจากหูอักเสบและเกิดจากแผลอักเสบ อาการหน้าซีกซ้ายชาเริ่มลดลง แต่อาการหูอื้อยังคงมีอยู่ รับรู้ได้ว่าแก้วหูมีการขยับกลับที่เดิมเรื่อยๆ

4มีนา จันทร์
ตอนนอนใช้ผ้ารองหูไว้เพราะเซรั่มไหลออกมาเรื่อยๆ ตลอดคืน



5มีนา อังคาร
เซรั่มยังคงเหลืออยู่



6มีนา พุธ
เซรั่มเริ่มน้อยลงแล้ว

7มีนา
ไม่มีเซรั่มไหลออกมาแล้ว หูเริ่มอื้อเพิ่มขึ้นเหมือนเริ่มสะสมน้ำใหม่อีกรอบ


9มีนา
อาการหูอื้อมาพร้อมกับความรู้สึกตื้อๆเต็มหู มีนัดกับหมอตอนเย็น หมอส่องหูให้แล้วแจ้งว่า แผลติดแล้ว ค่าเฉลี่ยแผลจะหายราวๆ 2อาทิตย์ อันนี้ติดเร็วไปนิดทำให้อาการหูอื้อยังลดลงไปช่วงเวลาสั้นๆ

10มีนา
มีอาการแน่นหูมากขึ้น กำลังกังวลว่าจะแน่นขึ้นทุกวันแบบนี้ไปอีกกี่วัน ถ้าตกในวันทำงานจะลางานลำบาก เลยตัดสินใจไปหาหมออีกรอบช่วงเย็น หมอส่องหูให้บอกว่าไม่น่าจะเป็นเยอะเพราะเห็นน้ำในหูแค่ 40% แนะนำว่า ให้ลองเป่าหู เผื่อจะไม่ต้องเจาะซ้ำ และป้องกันไม่ให้น้ำเหนียวข้น

จากคนไข้ที่ผ่านมาหลังเจาะ จะสามารถอยู่ได้ประมาณ 1เดือนถึงจะวนกลับมาเจาะซ้ำ และหลังจากเจาะซ้ำไป 2-3 มักจะขอให้ใส่ท่อคาไว้ เรามักจะไม่เจาะซ้ำทุกอาทิตย์ ให้ลองทนไปก่อนสักสองอาทิตย์แล้วค่อยมาดูกันอีกที แต่หมอทักว่าทำไมมือเหลือง

17มีนา
หนึ่งอาทิตย์ผ่าน ความรู้สึกน้ำในหูน้อยลงเรื่อยแต่อาการหูอื้อยังคงมีอยู่ ความแตกต่างของหูอื้อแบบมีน้ำกับไม่มีน้ำคือเสียงพูดมันก้องไม่เท่ากัน สิ่งที่เหมือนกันคือไม่ได้ยินเสียง หรือได้ยินซ้ายขวาไม่เท่ากันทำให้ งงทิศ