หลังจากเจอมะเร็งครั้งแรก https://www.mrprin.net/2022/06/blog-post.html ตอนนี้ผ่านการรักษามาแล้ว ขอสรุป key message หลักๆ สรุปเอาไว้ให้ตัวเองในวันที่ผ่านช่วงเวลานี้ไป
เริ่มจากความรู้พื้นฐานและขั้นตอนการรักษามะเร็ง จากการอ่านศึกษาทั่วไปพอจะสรุปแนวทางการรักษามะเร็งทั่วไปอย่างคร่าวว่าขั้นตอนการรักษาจะมี 3 ขั้นคือ
- ผ่าคว้านเอาเนื้อมะเร็งให้ออกไปเยอะที่สุด อาจจะกินพื้นที่เข้าบริเวณเนื้อดีบ้าง
- ฉายแสงเพื่อระงับการเดิบโตของเซลล์มะเร็งรอบๆบริเวณที่มีเซลล์มะเร็ง
- คีโมเพื่อระงับการเดิบโตของเซลล์มะเร็งที่กระจายผ่านเลือดหรือน้ำเหลือง
หากเป็นมะเร็งที่มีการกระจายตัวช้า เช่นลำไส้หรือต่อมลูกหมาก บางทีจะเจอว่าแค่ผ่าออกไปแล้วจบการรักษาได้เลย แต่ถ้ามีการกระจายตัวไปพื้นที่ข้างเคียงอาจจะต้องมีการฉายแสงเพื่อระงับเซลล์มะเร็งที่แทรกตัวไปแต่ยังไม่ก่อนตัวเป็นก้อน หรือหากกระจานผ่านของเหลวได้ง่ายก็จะมีการให้คีโมเพื่อช่วยอีกทาง ทั้งหมดนี้คือสรุปเอาเองจากที่อ่านข้อมูลมา
####################
การเตรียมตัว
- การรักษามะเร็งโดยปกติจะรับการรักษาจากหมอ3ท่านคือหมอเฉพาะทาง หมอรังสี และหมอคีโม
- เช่นในกรณีนี้เป็นมะเร็งหลังโพรงจมูกจะมีคุณหมอโสตศอนาสิก(ENT)เป็นเฉพาะทาง หากมีเหตุต้องผ่าตัดหรือตัดชิ้นเนื้อ คุณหมอENTจะเป็นคนดำเนินการให้
- หลังจากนั้นจะถูกส่งตัวมารับคำปรึกษาจากหมอรังสีเพื่อรับการฉายแสงเป็นจำนวนทั้งหมด 33ครั้งด้วยเครื่อง True Beam ทุกวันจันทร์ถึงศุกร์ หยุดเสาร์อาทิตย์และวันนขัตฤกษ์ โดยการการฉายจะต้องมีการทำหน้ากาก และทำ CT simulation เพื่อกำหนดองศาและตำแหน่งของการฉาย
- ระหว่างที่ฉายแสงจะถูกส่งตัวไปรับการให้ยาเคมีบัตบำในกรณีเป็นการให้ยา Cisplatin เพื่อเสริมการฉายแสงให้ทำงานได้ดีขึ้น โดยโดสที่จะได้รับคือ 240mg/m^2 โดยแบ่งให้เป็นรอบ รอบละ40mg/m^2 (เมื่อคำนวณน้ำหนักตัวแล้วจะได้ยาจำนวน 65mg)
- ก่อนการฉายแสงจะต้องไปเช็คสภาพฟันเพราะหลังจากที่ฉายแสงไปแล้วกระดูกกรามและเนื้อเยื่อบริเวณกรามจะเป็นเนื้อเยื่อโดนรังสีไปตลอดชีวิต การซ่อมแซมร่างกายจะช้า ในกรณีที่ต้องถอนฟันอาจเกิดภาวะ ORT คือเนื้อเยื่อไม่ปิดทำให้กระดูกกรามเปิดนานเกินไปและเกิดภาวะกระดูกตายที่กราม หลังจากซ่อมฟันหรือถอนฟันจนเสร็จหมดแล้วในอนาคตจะไม่มีการถอนฟันอีกโดยหลักการจะใช้วิธีการอุดหรือครอบเป็นหลัก หากจำเป็นต้องถอนจะต้องมีการรักษาภายใต้การดูแลของทันตแพทย์แบบพิเศษที่เรียกว่า hyper oxygen condition
- ไปติดต่อรับการบำรุงร่างกายจากแพทย์แผนจีน รพ.หัวเฉียว เพื่อป้องกันไม่ให้มีภาวะปากอักเสบรุนแรง และได้กินยาจีนทุกวันตลอดการรักษายกเว้นวันที่ให้คีโม และกินเหล่งเอี้ยงลดความร้อนจากรังสีเฉพาะวันที่ฉายแสง ผลที่ได้รับค่อนข้างพอใจคือไม่ต้องใส่สายอาหารทางจมูก สามารถเคี้ยวและกลืนเองได้แม้จะมีแผลเจ็บตอนกลืนบ้างแต่ยังพอทนได้
####################
อาการข้างเคียง
- จมูกจะมีน้ำเมือกและเลือดซึมตลอดเวลา อาจเป็นผลมาจากรังสีทำให้เนื้อเยื่ออักเสบ หมอ ENT ให้ทำการล้างจมูกเช้า 250cc และเย็น 250cc พร้อมพ่นยารักษาแผล ผลที่ได้คือพอจะพยุงไม่ให้เลือดไหลเป็นโจ้กได้บ้าง ยาที่พ่นจะไปเคลือบแผลไว้แล้วแห้งแข็งเป็นก้อน ข้อดีคือเลือดไม่ไหลข้อเสียคือล้างจมูกรอบต่อไปทำได้ยาก วิธีแก้คืออัดน้ำเข้าจมูกไปก่อน 1รอบแล้วค้างไว้ไม่ต้องสั่งออก จากนั้นไปแปรงฟันหรืออาบน้ำ แล้วจึงมาล้างจมูกต่อ จะช่วยให้แผลที่แห้งนิ่มตัวลงแล้วสั่งออกได้ง่ายขึ้น ถ้าไม่ล้างออกจะทำให้ยาพ่นไม่สามารถไปเคลือบผิวเนื้อเยื่อสดๆได้
- ภายในลำคอจะมีแผลผุพองเป็นตุ่มใสๆเมื่อแตกออกจะเป็นแผลคล้ายร้อนใน โดยมากจะเป็นหลังให้คีโมประมาณ 1-2 วันแล้วแผลจะทุเลาดีขึ้นใน 4-5วัน จากนั้นจะเริ่มรอบถัดไป ซึ่งเมื่อสะสมแผลทบไปเรื่อยๆ แผลจะเจ็บมากสุดหายยากสุดตอนที่ฉายแสงไปได้ประมาณสัปดาห์ที่ 6 หรือก็คือช่วงท้ายๆ จะมีแผลระบมเต็มปากไปหมด หมอรังสีให้ยาเบตาดีนสำหรับบ้วนปากมาใช้เพื่อลดการอักเสบ และหมอจีนให้ยาพ่นแตงโมมาใช้เพื่อเสริมการสมานแผล
- ปากและลิ้นจะเป็นแผลเหมือนในลำคอ แต่จะมีอาการบวมและชาเพิ่มเข้ามา ข้อแตกต่างคือลำคอจะเจ็บตอนกลืนแต่ปากและลิ้นจะเจ็บตอนพูดทำให้พูดไม่ชัด ดื่มน้ำติดขัดก็เพราะลิ้นเจ็บนี่แหละ
- น้ำลายแห้งเป็นอุปสรรคหลักในการดำเนินชีวิต เพราะนอกจากจะทำให้คอเจ็บมากขึ้น ฟันผุได้ไวขึ้น ยังทำให้ผนังคอแห้งเวลานอนจะลำบากและตื่นบ่อย ตัวน้ำลายจะเปลี่ยนสภาพจากของเหลวใสๆเป็นเมือกข้นๆเหนียวๆ ทางหมอENT ให้ยากระต้นต่อมน้ำลายมากินเพื่อกระตุ้นการสร้างน้ำลาย แต่ไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่ กินทีไรเหงื่อออกเต็มไปหมดแต่น้ำลายยังแห้งเหมือนเดิม
- ผิวหนังคอรอบนอกจะไหม้เกรียมในสัปดาห์ที่ 5 และจะกรอบในสัปดาห์ที่ 6 พอเข้าสัปดาห์ที่ 7 จะเริ่มลอกเป็นแผ่นๆ คุณหมอสั่งห้ามถู ห้ามโดนสบู่ ห้ามแกะ เพราะเนื้อเยื่อผิวหนังใหม่จะเติบโตช้าหากไปถูกหรือแกะออกก่อนที่มันจะสร้างใหม่เสร็จจะเกิดภาวะผิวหนังไม่แห้งเป็นน้ำเหลืองและอาจนำไปสู่การติดเชื้อดังนั้นต้องระวังจุดนี้ดีดี
- กล้ามเนื้อบ่าคอจะโดนรังสีทำให้เกิดการระคายเคือง ร่างกายจะทำการสร้างเนื้อเยื่อและพังพืดมาซ่อมแซมบริเวณบ่าและคอ ดังนั้นต้องคอบริหารบ่าคอโดยการหมุนคอซ้ายขวาเช้าเย็นทุกวัน
- กล้ามเนื้อกราม เช่นกันกับกล้ามเนื้อบ่าคอ กรามจะโดนรังสีทำให้เกิดพังผืดบริเวณปลายกราม จึงต้องฝึกอ้าปากให้กว้างโดยต้องวัดว่า ณ วันแรกเราอ้าได้เท่าไหร่ โดยระหว่างฝึกจะต้องมาเทียบกับวันแรกเสมอ ทางพยาบาลแนะนำให้ใช้ต่อ PVC วัด เพราะสามารถจำเบอร์ได้ว่าเป็นเบอร์อะไร
- การรับรู้รสชาติดับสิ้นในสัปดาห์ที่ 2 ของการฉายแสง เวลากินอะไรจะรู้แค่จืดและจืด แต่ความลำบากจะเกิดในสัปดาห์ที่ 4 เป็นต้นไปเพราะนอกจากจะไม่รู้รสชาติแล้วบางครั้งยังเกิดเหม็นกลิ่นอาหารคาว โดยเฉพาะเหม็นน้ำมันผัด น้ำมันเจียว ทำให้อาหารที่จะเลือกกินต้องตัดพวกผัดและทอดออกไปจนหมด แม้กระทั่งก๋วยเตี๋ยวที่ใส่น้ำมันเจียว เวลากินจะเลี่ยนๆมันๆ ทำให้คลื่นไส้อยากจะอ้วกตลอด
- การกินค่อยข้างเลือกกินเนื่องจากผนังปากและลิ้นบวมเวลากินอาหารที่มีไขมันความรู้สึกคือจะโดนเคลือบเป็นไข ที่ผนังแก้มและเหงือกทำให้ความสามารถในการกินลดลงอย่างมาก ดังนั้นอาหารหลักที่เลือกกินตลอดสองเดือนคือข้าวต้มถั่ว และโจ้กไข่ ไม่สามารถกินหมูได้เนื่องจากเนื้อสัตว์มีความหยาบเวลากลืนจะติดที่ลำคอแสบและเจ็บ
- น้ำหนักตัว คุณหมอคีโมจะคอยจับตาดูเรื่องน้ำหนักตลอดการรักษา เพราะน้ำหนักจะเป็นผลที่บอกว่าเรากินอะไรได้ดีแค่ไหน หากร่างกายกินได้น้อยจะส่งผลให้ค่าเลือดตก ไม่ว่าจะเป็นค่าเกล็ดเลือด ค่าเม็ดเลือดขาวและค่าอื่นๆอีกหลายตัว ดังนั้นน้ำหนักตัวจะเป็นด่านแรกที่ต้องควบคุมให้คงที่ วันแรกที่เข้ารับการรักษามีน้ำหนัก 57.1 และสัปดาห์ที่ 7 ชั่งได้ 56.8 จากการทดลองกินนมล้วนๆ กับกินข้าวล้วนๆ สามารถสรุปได้ว่า การกินข้าวครึ่งชามกับกินนม 1 แก้ว ควบคู่ไปทุกมื้อ จะรักษาน้ำหนักได้ดีสุด โดย 1 แก้วคือ นม 10 ช้อนกับน้ำ 250แแ
- ค่าไต นอกจากค่าเลือดที่เกี่ยวโยงกับน้ำหนักตัวแล้วยังมีค่าไตที่ต้องพยายามรักษาตลอดการรักษา เพราะยาคีโมเป็นพิษต่อไต คน 1 ใน 10 จะเกิดภาวะไตวาย และถ้าค่าไตขึ้นแล้วมักจะเอาลงไม่ได้กลายเป็นไตเสื่อมในระยะยาว วิธีป้องกันคือต้องดื่นน้ำให้ได้มากกว่าวันละ 2ลิตร หรือถ้ารวมของเหลวอื่นๆแล้วควรจะได้มากกว่า 2.5ลิตรต่อวัน
####################
ค่ารักษา
- ค่าฉายรังสีเฉลี่ยครั้งละ 10000บาท ทั้งหมดฉาย 33 ครั้ง
- ค่าคีโมเฉลี่ยครั้งละ 4000บาท ทั้งหมด 6 ครั้ง
- ค่าตัดชิ้นเนื้อตรวจ 20000 บาท
- ค่า MRI 15000 บาท
- ค่า CT Simulation 10000 บาท
- ค่าวางแผนรักษา 30000 บาท
- ค่าหน้ากากฉายรังสี 12000 บาท
- ค่ายาจีนบำรุงร่างกายเฉลี่ย 3000บาท ทั้งหมด 10 ครั้ง
เอาตัวเลขกลมๆคือประมาณ 5แสนบาทเป็นราคาคลินิคนอกเวลาเนื่องจากถ้าต้องรอคิวประกันสังคมจะได้คิวรักษาอีก 3 เดือน ทางที่ดีใครพอจะทำประกันมะเร็งแบบ เจอ-จ่าย-จบ ได้จะช่วยได้เยอะ ราคาเบื้ยสำหรับทุนประกัน 5 แสนตกประมาณเดือนละ 300บาท หรือปีละ3500บาท คิดคร่าวๆว่าทำไป 10 ปีแล้วไม่เป็นเท่ากับจ่ายทิ้งไปประมาณ 4หมื่น แต่ถ้าเป็นจะได้คืน 5แสนบาทถือว่าเป็นการทำที่ค่อนข้างคุ้มค่า
เรื่องทั่วไป
- บางครั้งก็จิตตกปรับตัวค่อยได้ เบื่อไปทุกอย่าง
- บางครั้งก็คิดว่าหากกินอะไรไม่ได้ ออกนอกบ้านไม่ได้ ชีวิตช่างดูไร้ค่าจริงๆ การนั่งเฉยๆในบ้าน การมองคนอื่นกินอาหาร
- หลังจากหายแล้วเราควรมีความสุขกับการได้กิน ดีกว่ากินอะไรไม่ได้
- เรืองการกิน อะไรที่อยากกิน อยากลอง ให้เลือกกินบ้างไม่ใช่ว่ากินๆเข้าไปเพื่อแค่อิ่ม ต้องดูเรื่องสารอาหารและคุณค่าด้วย
- เรื่องการออกกำลังกายให้เหมาะสมกับการกิน
- และอื่นๆ ที่ยังคิดไม่ออก
No comments:
Post a Comment