หลังจากที่เจอคุณหมอหูคอจมูกคราวก่อนและให้ไปเตรียมร่างการเพื่อฉายแสง ช่วงนี้ก็เป็นอาทิตย์แห่งการเตรียมตัว
8 ธค. นัดพบหมอฟันครั้งแรก คุณหมอแจ้งว่า ผลกระทบจากการฉายรังสีผ่านช่องปากดีดังนี้
- รังสีจะทำลายเนื้อเยื่อรอบช่องคอ ทำให้ต่อมน้ำลายฟ่อ และเส้นเลือดใต้ขากรรไกรลีบ
- อาหารที่กินจะต้องเป็นอาหารอ่อนที่มีส่วนผสมของเหลว ไม่สามารถกินอาหารแห้งได้ง่าย
- เมื่อกินอาหารเสร็จ ร่างกายจะไม่มีน้ำลายไปทำความสะอาด ดังนั้นต้องแปรงฟัน ทำความสะอาดทันที จึงควรพกแปรงสีฟันกับตัวตลอดเวลาเพื่อทำความสะอาดทันที
- กล้ามเนื้อขากรรไกรในบริเวณที่โดนแสง จะมีพังพืดมาเกาะ ทำให้จะอ้าปากได้ไม่สุดเหมือนเก่า และจะต้องทำกายภาพไปตลอดช่วงการรักษา
- ต้องพกกระติกน้ำเพื่อจิบน้ำตลอดเวลาทดแทนน้ำลายที่แห้งไป
- ต้องพกแปรงและยาสีฟัน เพื่อล้างปากทุกครั้งหลังกินอาหารใด เนื่องจากไม่มีน้ำลายมาช่วยล้างตามธรรมชาติ
- ต้องพิมพ์ฟันและทำบล้อคยางเพื่อเคลือบฟลูออไรด์ที่ฟันก่อนนอนทุกวันช่วย เนื่องจากไม่มีน้ำลายป้องกันฟันผุตามธรรมชาติ
- ถ้าฟันโยกหรือผุ จะไม่สามารถรักษาด้วยการถอนได้ เพราะการถอนจะมีความเสี่ยงกระดูกเน่าอันเนื่องมาจากเส้นเลือดและเนื้อเยื่อไม่สมานแผล อันเป็นผลจากรังสี ทำให้ เสี่ยงต่อการตัดขากรรไกรที่เน่า
- การลดความเสี่ยงคือถอนฟันที่ไม่จำเป็นต้องใช้ลงให้น้อยเพื่อดูและง่ายขึ้น
- ฟันซี่ในสุดจะโดนรังสีมากสุด ดังนั้นให้เลือกว่าจะเก็บฟัน ซี่ 17,27,37,47 ไว้หรือจะถอนออก
- ถ้าหากเลือกที่จะเก็บไว้จะต้องดูแลรักษาให้ดีไปตลอดชีวิต
9 ธค. นัดMRI ที่ รพ.เอกชน ข้างนอก เนื่องจากคิวที่ รามา เร็วสุดคือเดือน มีค. ซึ่งช้าเกินไป เราจึงไปทำกับ รพ.เอกชนข้างนอก แล้วค่อยเอาผลมาเข้าระบบที่รามาอีกที ข้อดีคือเร็ว โทรจองปุ้บได้คิวปั๊บ ข้อเสียคือความละเอียดในการทำ ไม่ตรงกับที่หมอรามาอยากได้ 100% ถึงแม้จะเป็น การ MRI naso-pharynx แต่ทางหมอรามาอยากเห็นการต่อมน้ำเหลืองบริเวณคอลงมาด้วย
13 ธค. พบหมอฉายแสงครั้งแรก คุณหมอได้ดูภาพ MRI แล้วบอกว่า เนื้องอกเล็กๆ (ที่เมื่อ 4 เดือนก่อน CT แจ้งว่า เป็นซีสต์ 0.4 cm) ผ่านไป 4 เดือนการเป็นเนื้องอกชัดเจน พร้อมกับลามไปต่อมน้ำเหลือง ด้านซ้ายและด้านขวา ส่งผลให้ต่อมน้ำเหลืองโต มีขนาด 0.6 cm จากนั้นคุณหมอได้อธิบายแผนการรักษาว่า
- ต้องทำ CT อีกครั้งตอนทำ Simulation เพื่อกำหนดจุดฉายแสง
- ต้องฉายแสง 33 ครั้ง จ-ศ ตีกลมๆคือ 7 สัปดาห์ ค่าใช้จ่ายเฉพาะฉายแสง ไม่รวมค่าปรึกษาแพทย์ ไม่รวมคีโม ไม่รวม CT ไม่รวม MRI คือ 325,000 บาท คิดกลมๆ ฉายแสงครั้งละ 10,000 บาท
- เนื่องจากมีการลามไปต่อมน้ำเหลือง จึงจำเป็นต้องให้ คีโมเสริมการทำงานของรังสี จึงนัดคุณหมอคีโมเพื่อให้ไปปรึกษาแผนรักษาเพิ่มเติม
- ต่อมน้ำลายเป็นเซลล์ที่ไวต่อรังสีมาก เมื่อมีรักษามากระทบจะทำให้เซลล์หยุดทำงาน้อยลงจนถึงงั้นหยุดการทำงาน
- อาการปากแห้ง น้ำลายเหนียวข้นจะพบได้มากเป็นระยะเวลาช่วงหนึ่ง ควรจิบน้ำเป็นระยะเพื่อบรรเทาอาการขาดน้ำ
- ความโชคดีคือ ขนาดของเนื้องอกมีขนาดเล็ก คุณหมอคิดว่าสามารถฉายแสงหลบต่อมน้ำลายได้ อาจจะมีผลกระทบในระยะสั้น 6เดือน แต่ในระยะยาวต่อมน้ำลายที่กกหูน่าจะทำงานได้ 80%
- คอและช่องปากจะมีการอักเสบเยอะ เป็นแผลพุพอง ทำให้กินอาหารได้ลำบาก ถ้าน้ำหนักตัวลดลงมากกว่า 1 กิโลต่อสัปดาห์ คุณหมอจะใส่สายอาหารทางจมูก ซึ่งเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้การฉายแสงดำเนินได้ครบ 33 ครั้ง
- กล้ามเนื้อขากรรไกรจะมีพังพืดเกาะ ต้องมีการบริหารขากรรไกรเพื่อให้ไปปากอ้าไม่ได้ไปตลอด
- ระหว่างการฉายแสงที่ตัวจะมีรอยปากกาสำหรับ mark จุดหลังทำ simulation ห้ามลบออก ตัวหมึกกันน้ำแต่ไม่กันสบู่ ดังนั้นอาบน้ำได้แต่ให้หลบเลี่ยงการฟอกลงบนรอยกำหนดจุดฉายแสง
- ถ้าหากผิวหนังแสบพองจะมียาให้ทา ไม่ต้องไปหามาทาเอง
- จากนั้นให้ไปซื้อหน้ากาก เพื่อเอาไว้ล็อดหัวไม่ให้กระดิกได้ในช่วงฉายแสง
- สิ่งสำคัญที่สุดในช่วงระหว่างฉายแสงคือกาคุมน้ำหนัก เนื่องจากการทำหน้ากากจะปั้มจากหน้าของเราในวันทำนัด ดังนั้นถ้าร่างกายอ้วนขึ้น น้ำหนักขึ้น จะทำให้ใส่หน้ากากไม่ได้ แต่ถ้าน้ำหนักลงจะมีผลให้ค่าเลือดเม็ดเลือดขาวตก ภูมิจะต่ำ จะทำการฉายแสงต่อไม่ได้อีกเช่นกัน
- ผมจะไม่ร่วงทั้งหัว แต่จะร่วงแค่ท้ายทอย
- ลิ้นจะไม่รับรู้รสเป็นระยะเวลาหนึ่ง แต่จะกลับมาปกติหลังหยุดฉายแสง 4-6 เดือน
14 ธค. x-ray, ultrasound เพื่อดูการกระจายของมะเร็งไปที่ปอดกับตับหรือไม่
15 ธค. พบหมอคีโมครั้งแรก
- การให้คีโมเป็นการเสริมให้การฉายแสงได้ผลดีขึ้น
- ตัวยาคีโมจะถูกขับทางไต ดังนั้นต้องกินน้ำเยอะๆ ให้ได้มากกว่า 2 ลิตรต่อวัน มิฉะนั้น หากพบไตวาย จำเป็นต้องหยุดการให้คีโม
- เรื่องการคุมน้ำหนักเป็นสิ่งสำคัญมาก ถ้าหากกินอาหารเองไม่ได้ และน้ำหนักลดจะต้องถูกใส่สายอาหารทางจมูก จนกว่าจะจบการรักษา 95% ของคนที่มารับการรักษาไม่สามารถกินเองได้เนื่องจาก ช่องปากอักเสบ
- หลักเกณท์เบื้องต้นสำหรับการใส่สายอาหารทางจมูกคือ หากน้ำหนักลดลงมากกว่า 1 กิโลต่อสัปดาห์หรือช่องปากมีอาการอักเสบมาก แพทย์จะเป็นผู้ตัดสินใจ
- สามารถออกกำลังได้ แต่ต้องไม่ฝืน การออกกำลังจะช่วยให้ร่างกายฟื้นตัวได้เร็ว เช่นถ้าเคยวิ่งได้วันละ 5 กม. ในช่วงคีโมถ้าวิ่งได้วันละ 1 กม. ถือว่าพอใช้ได้
- คีโมในแผนการรักษา จะให้ครั้งละ 6 ชม. เช้าให้เสร็จ เย็นไปฉายแสง สูงสุดไม่น่าจะเกิน 7 ครั้ง ขึ้นการผลการรักษาในแต่ละครั้ง ค่าใช้จ่ายไม่รวมค่าปรึกษาแพทย์ ประเมินคร่าวๆ ครั้งละ 3000-4000 บาทขึ้นอยู่กับสูตรยาที่ใช้
- ต้องตรวจค่าเลือดก่อนสั่งยาทุกครั้ง จะไม่มีการสั่งยาล่วงหน้า ทั้งนี้เพื่อสามารถปรับสูตรยาให้เข้ากับสภาพร่างกาย
- ร่างกายจะมีการลดลงของเม็ดเลือดขาวอย่างเห็นได้ชัด ดังนั้นให้หลีกเลี่ยงไปในที่อาจจะเสี่ยงต่อการติดเชื้อเช่นที่แออัดเป็นต้น
16 ธค. พบหมอฟันครั้งที่สอง
- จากครั้งที่แล้วคุณหมอให้เลือกว่าจะเก็บฟันไว้แล้วดูแลอย่างดีไปตลอดชีวิต จริงๆเอาแค่ดีพอที่จะไม่ต้องถอน ส่วนเรื่องผุเล็กน้อยพอซ่อมได้
- หลังจากไปคิดและตัดสินใจ เลือกที่จะถอน ออกทั้ง 4 ซี่ เราเชื่อว่าในช่วงอายุ 40-60 คนเราน่าจะยังสามารถดูแลได้ แต่หลังจากช่วงนั้นไม่มีความมั่นใจว่าจะดูแลไหวหรือไม่ ดังนั้นถ้าจะเสี่ยง เสี่ยงถอนวันนี้ ย่อมดีกว่าไปถอนในวันหน้าและต้องไปเสี่ยงเรื่องกระดูกขากรรไกรตาย
- ว่าแล้ว ก็ให้คุณหมอจัดการถอนฟัน 4 ซี่
- ฟันที่ถอน ก็ถอนยากสุดๆ คุณหมอทั้งกรอ ทั้งโยก ผู้ช่วยกดหน้าเข้ากับเก้าอี้ เอาคางกดเข้ากับหน้าอก กว่าจะหลุดออกมาแต่ละซี่ เหนื่อยทั้งคนไข้ เหนื่อยทั้งคุณหมอกลับบ้านด้วยอาการหน้าบวม คางบวม รีบเอา cool pad ประคบตั้งแต่บ่ายโมงไปจนถึงหกโมงเย็น กินยาแก้ปวดกันไปสองรอบ ตื่นเช้ามาไม่มีอากาบวมแล้ว ฟันที่เจ็บก็เป็นการเจ็บจากแผลเย็บ ไม่ใช่ปวดจากตัวเหงือกเอง ถือว่าผ่านไปได้ดี
- มีซี่บนข้างขวารากยาวมาก พอถอน ออกมาเจอว่าเป็นรูทะลุไปที่โพรงไซนัส
- อาการของโพรงไซนัสทะลุคือกินน้ำแล้วรั่ว กินน้ำแล้วสำลัก หาอ่านข้อมูลพบว่าส่วนใหญ่ถ้าถอนฟันกรามบนซี่ใน ที่รากยาวๆ มักจะเจออาการนี้กันทุกคน สิ่งที่ทำได้คือฝึกกินน้ำใหม่ โดนใช้ลิ้นดันน้ำเข้าคนแทนการใช้ปากอมเข้าคอ เพราะถ้าอมแล้วบีบปากให้ลงคอ น้ำจะพุ่งทะลุโพรงไซนัสออกมาทางจมูก
- อาการทะลุนี้ต้องรอให้เนื้อเยื่อที่เหงือกสร้างตัวเองมาปิด โดยคนปกติจะใช้เวลาประมาณ 2-3 อาทิตย์ ทำให้มานั่งคิดว่าถ้าไม่ถอนแล้วเก็บเอาไว้จนวันนึงเกิดต้องถอนฟันซี่นี้ หลังฉายแสงเหงือกจะไม่สมานแผลแล้วจะเป็นอย่างไร
#แล้วมันจะผ่านไป
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับการฉายรังสี
เครื่องที่จะใช้ฉายแสงเท่าที่ได้ยินมามีสองรุ่นคือ IMRT กับ Rapid Arc ไม่แน่ใจว่าจะได้เครื่องรุ่นไหนแต่ไม่ว่าจะเครื่องไหน ก้อจะมีผลข้างเคียงต่อกล้ามเนื้อปาก ดังนั้นต้องทำกายบริหารอย่างเคร่งครัด
http://medinfo2.psu.ac.th/cancer/db/news_ca.php?newsID=916&typeID=18&form=3
บริหารกล้ามเนื้อปาก โดยตั้งคอให้ตรงอ้าปากให้กว้างที่สุด แล้วหมุนคอไปทางขวา พร้อมกับขยับปากขึ้นลง แล้วหมุนกลับมาทางซ้ายช้าๆ พร้อมกับขยับปากขึ้นลง แล้วหมุนกลับมาอยู่ในท่าตรง ควรทำทุกวันอย่างน้อยวันละ 20 ครั้ง
https://www.chulacancer.net/patient-list-page.php?id=80
ตัวอย่างอุปกรณ์และการบริหาร
https://www.rajavithi.go.th/rj/wp-content/uploads/2021/08/52ad7eeed5cd837be27d9f70851dd76d.pdf
ควรรับประทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ เน้นอาหารประเภทโปรตีน เนื้อสัตว์ นม ไข่ โปรตีนจะช่วยซ่อมแซมและสร้างเนื้อเยื่อ
การรับรสจะเปลี่ยนแปลง มีอาการคอแห้ง ปากแห้งจากการฉายรังสี ควรรับประทานอาหารอ่อน อาหารเหลว เช่น ข้าวต้ม, โจ๊ก, ซุป, แกงจืด จะช่วยให้กลืนง่ายขึ้น
หลีกเลี่ยงอาหารร้อนจัด, รสจัด, รสเปรี้ยว, เผ็ดร้อน รับประทานไอศกรีม เจลลี่แช่เย็น, อมน้ำแข็งความเย็นจะช่วยลดอาการเจ็บปาก เจ็บคอ เจ็บแผลในปาก จากการฉายรังสี
ภาวะเยื่อบุช่องปากอักเสบจากการฉายแสงหรือยาเคมีบำบัด (oral mucositis)
ตัวอย่างรูปช่องปาก
ข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับโพรงไซนัสทะลุ
https://pantip.com/topic/36495896
ปัญหาถอนฟันทะลุโฟรงไซนัส ผมเคยเจอครับ ถอนฟันมา เสี้ยงพูดขึ้นโพรงจมูก ดื่มน้ำไหลออกจมูก
วิธีดูแลที่ดีทำให้หายเป็นปกติได้ คือ การพยามทำให้แผลหายและปิดได้เร็วที่สุด ไม่ต้องกังวลนะครับ สามารถกลับมาเป็นปกติได้ครับ
ข้อห้าม
ห้ามเป่าลม ห้ามดูดฟัน ห้ามดูดหลอด ห้ามกลั้วปาก ห้ามใช้น้ำยาบ้วนปาก ห้ามสูบบุหรี ห้ามดื่มเครื่องดืมที่มีแอลกอฮอลทุกชนิด
ข้อแนะนำ
กินยาฆ่าเชื้อเพื่อป้องกันการติดเชื้อที่โพรงไซนัส ดื่มนม หรือ นมถั่วเหลือง(ที่มีโปรตีนสูง) และที่มีส่วนผสมของงาดำ(แนะนำชนิดหวานน้อย) เป็นประจำทุกวัน หลีกเลี้ยงอาหารที่ต้องซดน้ำ พยามเคี้ยวอาหารฝั่งตรงข้ามกับโพรงที่ทะลุ ดื่มน้ำเยอะๆ ดูแลความสะอาด ควรล้างจมูกด้วยน้ำเกลือ และพักผ่อนให้เพียงพอ





No comments:
Post a Comment